Ferrari ผู้ผลิตรถสปอร์ตจากอิตาลีที่ยังคงยืนหยัดในการผลิตและพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะเบนซิน V12 ควบคู่ไปกับขุมพลังเบนซิน Hybrid โดยยังไม่มีวี่แววที่จะยกเลิกขุมพลังสันดาปภายในล้วนแต่อย่างใด และยังออกมายืนยันอีกครั้งว่า ทางค่ายม้าลำพองจะยังมีทางเลือกขุมพลังเบนซิน V12 ไปจนกว่ากฎหมายจะสั่งบังคับไม่ให้วางจำหน่าย
โดยล่าสุดกับรถ GT รุ่นใหม่อย่าง 12 Cilindri ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 ความจุ 6,496 ซีซี ที่พัฒนาต่อยอดจาก 812 Superfast ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection แรงอัด 350 บาร์ ให้กำลังสูงสุด 830 แรงม้า (PS) ที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 678 นิวตัน-เมตร ที่ 7,250 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ ลูกใหม่
อีกทั้ง Ferrari ยังออกมายืนยันว่า 12 Cilindri จะไม่ใช่รถรุ่นสุดท้ายที่จะยังมีขุมพลังเบนซิน V12 ไร้ระบบอัดอากาศให้เลือก จนกว่ากฎหมายจะบังคับไม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถจำหน่ายได้อีกต่อไป ด้วยความหวังลึกๆว่า กฎหมายต่างๆ ในอนาคตอันใกล้นี้จะสามารถหาทางออกให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาดมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญสำหรับรถสปอร์ตของค่าย ได้แก่ เสียงเครื่องยนต์สุดหวานหูและการเร่งรอบได้สูงถึง 10,000 รอบ / นาที ที่ผ่านการปรับแต่งมาอย่างสมดุล ระหว่างอัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์ในรอบต่ำ โดยจะเป็นการดึงพละกำลังของเครื่องยนต์ V12 ออกมาให้ได้มากที่สุด
ถึงแม้ว่าทางค่ายม้าลำพองจะเคยออกมายืนยันว่าเครื่องยนต์ V8 hybrid จะมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ V12 แต่ทว่า การรักษาเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บล๊อคโตเร่งรอบได้สูงนั้นกลับมีความสำคัญไม่แพ้การตามกระแสกับแบรนด์รถยนต์เจ้าอื่นๆ
เมื่อพูดถึงการนำขุมพลังไฟฟ้าล้วนมาใช้กับรถสปอร์ตของค่าย Ferrari เองก็กำหนดเวลาไว้ที่ปี 2025 เป็นต้นไป และยังเกาะติดกระแสรถ EV อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการค่อยๆ ปรับลดสัดส่วนของขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปลง และเพิ่มสัดส่วนของรถ EV ให้มากขึ้น จนกินส่วนแบ่งยอดขายเป็น 40% ขณะที่อีก 40% จะมาจากขุมพลัง hybrid และสุดท้ายสัดส่วนของเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนจะเหลือเพียง 20%
Ferrari ยังไม่ใช่ผู้ผลิตรถสปอร์ตรายเดียวที่ยังคงมีทางเลือกเครื่องยนต์ V12 โดยยังมี Aston Martin และ Gordon Murray ที่จะเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์สันดาปอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: Motor1
Credit: www.HeadLightMag.com