Lynk & Co ถือฤกษ์งามยามดีวันที่ 8 มีนาคม 2024 เปิดตัวเวอร์ชั่นตัวถังซีดานของ 08 โดยใช้ชื่อรุ่น 07 ใกล้เคียงกัน โดยสร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมพื้นฐาน CMA Evo platform ที่เป็นภาคต่อการพัฒนามาจาก Compact Modular Architecture (CMA)
เส้นสายงานออกแบบภายนอกมีความชัดเจนว่าได้รับการส่งต่อมาจากรถ SUV รุ่น 08 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2023 โดยเฉพาะไฟหน้า LED และ DRL รูปทรงเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
เพิ่มเติมความสปอร์ตด้วยการตกแต่งตัวถังรอบคันด้วยวัสดุสีดำเงา ไม่ว่าจะเป็นเสา B และฝาครอบกระจกมองข้าง รวมไปถึงหลังคาสีดำเงา นอกจากนี้ยังมาพร้อมล้ออัลลอยลวดลายสุดล้ำ และยังเพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ เช่นเดียวกันกับมือเปิดประตูที่ติดตั้งเรียบเนียนไปกับตัวรถ ขณะที่ไฟท้ายที่ติดตั้งเป็นชิ้นยาวตลอดความกว้างของตัวรถที่มีขีดและเส้นลากต่อเพื่อให้เป็นรูปแบบเดียวกันกับไฟหน้า
มิติตัวถังรถ
ภายในมาพร้อมหน้าจอกลางขนาด 15.4 นิ้ว ที่รองรับภาพความละเอียดสูงระดับ 2.5k โดยมาพร้อมขอบของจอที่บางเฉียบ เพื่อให้อัตราส่วนการแสดงผลมากกว่าจอทั่วไป ขณะที่หน้าจอมาตรวัดแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ Lynk Flyme Auto Meizu HMI ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทแม่ของแบรนด์ Geely ได้เข้าซื้อกิจการโทรศัพท์มือถือสัญชาติเดียวกันอย่าง Meizu นับว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่บริษัทรถยนต์แดนมังกรกระทำกันเป็นปกติ เพื่อให้การพัฒนาระบบปฏิบัติการของการเชื่อมต่อต่างๆ สามารถพัฒนาไปอย่างไม่มีขีดจำกัด
Lynk & Co 07 EM-P เลือกใช้ขุมพลัง Plug-in hybrid ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร รหัส BHE15-BFZ ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ที่ใช้ร่วมกันกับรุ่น 08 EM-P ซึ่งทำให้พละกำลังรวมมีให้เลือก 2 เวอร์ชั่น ได้แก่ 381 แรงม้า ที่มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนที่เพลาล้อหน้า ให้แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ทำให้แรงบิดสูงสุดรวม เป็น 615 นิวตัน-เมตร และสำหรับเวอร์ชั่น 661 แรงม้า จะติดตั้งมอเตอร์ที่เพลาล้อคู่หลังให้แรงบิดเพิ่มเติมอีก 290 นิวตัน-เมตร เพิ่มเติม ทำให้แรงบิดสูงสุดรวมเป็น 905 นิวตัน-เมตร
ทั้งนี้ ระยะทางที่วิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนให้ระยะทางสูงสุด 102 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC จากแบตเตอรี่ความจุ 18.99 kWh โดยเมื่อรวมระยะทางที่วิ่งได้จากเครื่องยนต์สันดาปภายในและการทำงานของระบบ Plug-in hybrid ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 1,400 กิโลเมตร
ที่มา: Carnewschina
Credit: www.HeadLightMag.com