JAC Yiwei รถ EV จิ๋วเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงรุ่นแรกของโลกที่ใช้แบตเตอรี่ Sodium-ion วิ่งได้ไกลสุด 252 กิ

JAC Yiwei EV นับว่าเป็นรถ EV เวอร์ชั่นผลิตจำหน่ายจริงรุ่นแรกที่ได้ใช้แบตเตอรี่แบบ Sodium-ion จากบริษัท HiNa Battery ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ JAC แบรนด์รถยนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Volkswagen เป็นการลดการใช้แร่ Lithium ที่ถูกใช้งานเป็นจำนวนมากและมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีกำหนดการพร้อมส่งมอบในเดือนมกราคม 2024 นี้

โดยลักษณะของเซลล์แบตเตอรี่ดังกล่าวจะเป็นรูปแบบทรงกระบอก และติดตั้งเรียงตัวในรูปแบบรังผึ้งเช่นเดียวกับที่แบตเตอรี่จาก CATL แบบ CTP (cell-to-pack) และ BYD Blade battery

เมื่อเท้าความไปถึงที่มาที่ไปของแบรนด์ JAC จะพบว่าเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัทแม่เป็น Anhui Jianghuai Automobile Group Holdings (JAG) ที่มีรัฐบาลจีนถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งที่เหลือเป็นของ Volkswagen Group ที่เข้ามามีบทบาทต่อแบรนด์ JAC นับตั้งแต่ปี 2020

โดยแบตเตอรี่ Sodium-ion ดังกล่าวจะมีรายละเอียดดังนี้

• รหัสเซลล์ HiNa NaCR32140
• ความจุ 25 kWh
• ความหนาแน่นของพลังงานต่อน้ำหนัก 120 Wh/กิโลกรัม เมื่อคำนวณจากทั้งก้อนแบตเตอรี่
• สามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ภายในเวลา 20 นาที
• มีพิสัยการเดินทางสูงสุด 252 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม ชื่อรุ่นเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงของ JAC รถ EV คันจิ๋วดังกล่าวยังไม่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ แต่คาดว่าจะใช้ชื่อรุ่น Sehol E10X หรือ Yiwei E10X ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรถ EV จิ๋วที่เปิดตัวไปก่อนหน้าเมื่อเดือนมิถุนายนภายใต้แบรนด์ Yiwei รุ่น 3 ซึ่งเดิมที่จะใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium LFP ทั่วไป ได้ถูกเพ่งเล็งว่าจะเป็นรถรุ่นที่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดให้สามารถใช้แบตเตอรี่แบบ Sodium-ion ได้

แบตเตอรี่แบบ Sodium-ion เป็นกระแสนิยมในผู้ผลิตรถยนต์หลากค่ายในขณะนี้ โดยเฉพาะอนาคตอันใกล้ที่จะสามารถนำมาใช้กับแบตเตอรี่ความจุน้อย ที่เหมาะสมกับรถจักรยานยนต์ ยานพาหนะขนาดเล็กในรูปแบบต่างๆ โดยมีข้อเด่นในเรื่องราคาที่ถูกกว่าแบบ Lithium-ion และยังสามารถประจุไฟฟ้าได้ดีกว่าในสภาพอากาศหนาวเหน็บ อย่างไรก็ตามข้อจำกัดในส่วนของความหนาแน่นของพลังงานต่อน้ำหนัก ยังคงเป็นรองแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion แต่หากผู้ผลิตรถยนต์ตั้งใจกันผลักดันให้แบตเตอรี่แบบ Sodium-ion สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ได้ จะเป็นการช่วยลดภาวะการขาดแคลนแร่ธาตุที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา: Carnewschina

Credit: www.HeadLightMag.com