BYD เปิดรับจอง Song L ไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พร้อมด้วยเสียงตอบรับกว่า 28,350 คัน ก่อนที่จะประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้งหลังจากปิดฤดูกาล pre-sale ในวันที่ 15 ธันวาคม 2023 โดยทางค่ายได้ใช้โอกาสนี้ในการหั่นราคาลดลงอีก 30,200 – 40,200 หยวน ในแต่ละรุ่นย่อย ทำให้กระแสนิยมของรถ SUV ตระกูล Dynasty series กลับมาฮือฮาอีกครั้ง
โดนงานวิศวกรรมพื้นฐานยังคงใช้เป็น e-platform 3.0 ที่มาพร้อมความทันสมัยครบครัน โดยเฉพาะช่วงล่างถุงลมแบบ Disus-C suspension system พร้อมด้วยแบตเตอรี่แบบ CTB (cell-to-body) และครั้งแรกของค่ายกับสปอยเลอร์หลังแบบกางออกอัตโนมัติหรือต้องการ ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า รวมไปถึงกระจกหน้าต่างแบบไร้กรอบ พร้อมด้วยมือเปิดประตูแบบซ่อนเรียบเนียนกับตัวรถ ปิดท้ายด้วยช่องเก็บของด้านหน้าหรือ Frunk
มิติตัวถังรถ
เมื่อเทียบมิติตัวถังกับ Tesla Model Y จะพบว่า Song L ยาวกว่า 90 มิลลิเมตร กว้างกว่า 29 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 64 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 40 มิลลิเมตร
เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร จะพบกับหน้าจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว ที่หมุนได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อมด้วยจอมาตรวัดขนาด 10.25 นิ้ว ที่ติดตั้งมาควบคู่กันหลังพวงมาลัย และยังมีไฮไลท์อยู่ที่หน้าจอ Head-up display ขนาดใหญ่จุใจกว่า 50 นิ้ว ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR-HUD) พร้อมด้วยระบบปฏิบัติการ DiLink OS ที่คอยช่วยจัดการการใช้พลังงานและการเชื่อมต่อต่างๆ ภายในรถ พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่กว่า 30 ฟังก์ชั่น ภายใต้การทำงานของ DiPilot driving assistance system
โดย BYD แบ่ง Song L ออกเป็น 5 รุ่นย่อย ได้แก่
BYD วางหมากไว้ให้ Song L ต่อกรโดยตรงกับ Tesla Model Y และ Zeekr 001 fastback ด้วยกลยุทธ์ราคาจำหน่าย อันเย้ายวนใจนับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า การแข่งขันระยะยาวทาง BYD จะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้หรือไม่
ที่มา: Carnewschina
Credit: www.HeadLightMag.com